หลายคนอาจคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับอิฐมอญ เพราะเป็นวัสดุที่นิยมใช้ก่อผนังมาอย่างยาวนานตั้งแต่อดีต จนในปัจจุบันมีอิฐมวลเบาที่ได้รับความนิยมมาก่อผนังไม่แพ้กัน สำหรับเจ้าของบ้านที่กำลังจะสร้างบ้านใหม่ หรือปรับปรุงบ้านบางส่วนที่ต้องมีการทุบผนังก่อแล้วเปลี่ยนใหม่ แนะนำให้พิจารณาคุณสมบัติในด้านต่างๆ รวมถึงข้อแตกต่างของวัสดุทั้งสองก่อนการตัดสินใจ สำหรับสิ่งที่เหมือนกันของวัสดุทั้งสองประเภทคือ สามารถนำมาก่อได้ทั้งงานผนังภายใน-ภายนอก และบริเวณที่ต้องสัมผัสความชื้นได้ (เช่น ห้องน้ำ) รวมถึงมีความแข็งแรง สามารถทนแรงกระทำแรงกระแทกต่างๆ และสามารถรองรับการยึดแขวนของได้ไม่ต่างกัน แต่มีรายละเอียดและคุณสมบัติบางอย่างที่แตกต่างกัน
สี รูปทรง และผิวสัมผัสของอิฐที่มีผลต่อการก่อและฉาบผนัง
อิฐมอญมีส่วนประกอบหลักจากดินเหนียว ทรายหรือขี้เถ้าแกลบ และน้ำ (ส่วนผสมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแหล่งผลิต) กระบวนการผลิตอิฐมอญจะมี 2 ลักษณะคือ อิฐมอญตันมือ ซึ่งเกิดจากการอัดดินใส่แม่พิมพ์แล้วนำไปเผาไฟ และอิฐมอญเครื่อง ซึ่งเกิดจากการรีดขึ้นรูป ตัดเป็นท่อนๆ นำไปผ่านกระบวนการอบไล่ความชื้นแล้วนำไปเผา อิฐที่ได้จะมีสีส้ม–แดงไปจนถึงน้ำตาล มีรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ไม่ได้เรียบสม่ำเสมอเท่ากันทุกก้อน ผิวสัมผัสมีความขรุขระดูเป็นธรรมชาติ (อิฐมอญเครื่องจะมีผิวสัมผัสเรียบกว่าอิฐมอญมือ) จึงสามารถก่ออิฐแบบโชว์แนวในสไตล์ลอฟท์หรือวินเทจได้ รวมถึงนำไปตกแต่งสวนได้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า แต่การก่อผนังอาจดูไม่เป็นระเบียบเท่ากับการก่อผนังอิฐมวลเบา และการฉาบจะต้องอาศัยฝีมือช่างที่ชำนาญเพื่อให้ได้งานฉาบที่เรียบเนียนสวยงาม
การก่อฉาบต้องถูกวิธี และอุปกรณ์ที่ใช้ต้องเหมาะสมกับวัสดุอิฐ
การก่อผนังอิฐมอญนั้นจะใช้ปูนทรายและเกรียงใบโพธิ์ในการก่อผนัง ส่วนการฉาบผนังก่ออิฐมอญนั้นสามารถใช้เกรียงใบโพธิ์และเกรียงไม้ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าในการฉาบตกแต่งผิวผนังให้เรียบเนียน มีการใช้เหล็กหนวดกุ้งในการยึดระหว่างอิฐกับเสาโครงสร้าง ส่วนการติดตั้งวงกบประตู–หน้าต่างนั้น จะต้องมีการหล่อเสาเอ็นทับหลังและต้องมีค้ำยัน
การก่อฉาบอิฐมวลเบา จะต้องใช้ปูนก่อฉาบและอุปกรณ์สำหรับอิฐมวลเบาโดยเฉพาะ เช่น เกรียงก่อ เกรียงฟันปลา ค้อนยาง ปูนก่อสำหรับอิฐมวลเบา ปูนฉาบสำหรับอิฐมวลเบา โดยในการก่ออิฐมวลเบาจะใช้ Metal strap เพื่อยึดระหว่างอิฐกับเสาโครงสร้างแทนการใช้เหล็กหนวดกุ้ง การติดตั้งวงกบประตู-หน้าต่างบนผนังอิฐมวลเบานั้น สามารถเลือกใช้คานทับหลังสำเร็จรูป (เช่น Q-CON Lintel) แทนการหล่อเสาเอ็นและคานทับหลังที่หน้างาน จึงช่วยลดเวลาและต้นทุนในการทำงานลงได้
อิฐมอญจะมีขนาดเล็กกว่าอิฐมวลเบา ขนาดของอิฐมอญโดยประมาณจะมีความกว้าง 2.50 – 3.00 ซม. ยาว 14.00 – 16.00 ซม. ความหนา (ของผนังตอนก่อ) ประมาณ 6.00 – 6.50 ซม. ส่วนขนาดของอิฐมวลเบาจะมีความกว้าง x ยาว คือ 20 x 60 ซม. แต่มีหลายความหนาให้เลือกใช้งาน ตั้งแต่ 7.50, 10.00, 12.50, 15.00 และ 20.00 ซม.สำหรับการก่อผนัง 1 ตารางเมตร จะใช้อิฐมอญจำนวน 130–145 ก้อน ใช้เวลาในการก่อประมาณ 5–10 ตารางเมตร/วัน ส่วนผนังก่ออิฐมวลเบาจะใช้อิฐประมาณ 8-9 ก้อน/ตารางเมตร ใช้เวลาในการก่อประมาณ 15-25 ตารางเมตร/วัน ดังนั้นหากเลือกใช้อิฐมวลเบามาก่อผนังจะสามารถก่อได้รวดเร็วกว่าอิฐมอญประมาณ 3 เท่า ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและค่าแรงเพราะลดจำนวนวันในการก่อลง
สำหรับผนังอิฐมอญรวมฉาบแล้วหนา 10 ซม. จะมีน้ำหนักประมาณ 180-200 กก./ตร.ม. สำหรับผนังอิฐมวลเบารวมฉาบแล้วหนา 10 ซม. จะมีน้ำหนักประมาณ 90-100 กก./ม. การเลือกใช้ผนังก่ออิฐมวลเบาจึงทำให้น้ำหนักโดยรวมของอาคารเบากว่าการเลือกใช้ผนังอิฐมอญ ช่วยลดภาระการรับน้ำหนักของโครงสร้างหลัก ส่งผลให้ช่วยประหยัดงานโครงสร้างอาคารนั่นเอง
สำหรับการเจาะยึดเพื่อแขวนของบนผนังนั้นไม่ต้องกังวลเพราะสามารถยึดแขวนของได้ไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ต้องเลือกใช้พุกถูกประเภทกับน้ำหนักของที่จะแขวนและมีการเจาะยึดอย่างถูกวิธี สำหรับผนังก่ออิฐมอญ แนะนำให้เลือกใช้พุกพลาสติกสำหรับยึดสกรูเพื่อแขวนของ ซึ่งหาซื้อได้ง่ายและมีราคาถูก สามารถรับน้ำหนักต่อจุดได้ 30 กก./ตร.ซม. สำหรับการแขวนของบนผนังก่ออิฐมวลเบา รวมถึงการยึดวงกบประตูหน้าต่างกับอิฐมวลเบาโดยตรง (ไม่ได้หล่อเสาเอ็นคานเอ็น) จะต้องเลือกใช้พุกโลหะสำหรับอิฐมวลเบาโดยเฉพาะ จะรับน้ำหนักได้ 35-50 กก./ตร.ซม. ตัวอย่างเช่น หากเลือกใช้พุกโลหะพร้อมสกรูขนาด 6 มม. จะรับน้ำหนักได้ 30 กก./ตร.ซม. หากเลือกใช้พุกโลหะพร้อมสกรูขนาด 8 มม. จะรับน้ำหนักได้สูงสุด 50 กก./ตร.ซม.* หากต้องการแขวนของที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 5 กก. เช่น การแขวนรูปภาพบนผนังอิฐมวลเบา สามารถใช้พุกพลาสติกทั่วไปในการยึดแขวนของได้
อิฐมอญเป็นวัสดุที่สะสมความร้อนในตัว เมื่อโดนแสงแดดในช่วงกลางวัน ความร้อนจะถูกสะสมไว้และแผ่เข้ามาภายในบ้านในช่วงหัวค่ำ (ควรมีการระบายหรือถ่ายเทอากาศระหว่างวัน เพื่อช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศ) ส่วนอิฐมวลเบานั้น เนื้ออิฐมีลักษณะเป็นฟองอากาศ จึงมีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนได้ดี ช่วยลดความร้อนที่จะส่งผ่านเข้ามาภายในบ้านได้ สำหรับอัตราการกันไฟที่ 1,100 องศาเซลเซียสนั้น อิฐมอญจะกันไฟได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ส่วนอิฐมวลเบาจะกันไฟได้นาน 4 ชั่วโมง อัตราการกันเสียง อิฐมอญกันเสียงได้ 38 เดซิเบล และอิฐมวลเบากันเสียงได้ 43 เดซิเบล